การจัดการเรียนรู้แบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Construstivist
Methods : CLM)เชื่อว่าความรู้นั้นเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละบุคคลและสิ่งแวดล้อมผู้เรียนแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจะให้โอกาสผู้เรียนในการสร้างความรู้จากความรู้ที่มาก่อนเพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่และความเข้าใจจากประสบการณ์จริงในการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้สำรวจถึงความเป็นไปได้วิธีคิดแก้ปัญหา
ตรวจสอบแนวคิดใหม่ๆ การร่วมมือกับผู้อื่น
การคิดทบทวนปัญหาและท้ายที่สุดคือเสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่ตนเองคิดค้นขึ้น
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการสร้างความต่อเนื่องระหว่างข้อมูลสารสนเทศใหม่
กับความรู้เดิม รู้เป็นผลของการผลิตหรือการสร้างสรรค์ทางปัญญา
มนุษย์จะเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด
ถ้าหากได้ลงมือสร้างความหมายหรือความเข้าใจของตนด้วยตนเอง
การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนสร้างโครงสร้างความรู้หรือความเข้าใจอย่างแข็งขันและมีเจตนามุ่งมั่นชัดเจน
โดยผู้เรียนจะสลายความขัดแย้ง(Conflict Resolution) หรือความไม่เข้ากันของแนวคิดหรือข้อมูลต่างๆ
โดยการพินิพิเคราะห์คำอธิบายหรือเหตุผลเชิงทฤษฎี มนุษย์สร้างโลกทัดของตนเองขึ้นจากประสบการณ์จริงในเวลานั้น
และโครงสร้างความรู้เดิมที่อยู่ในรูป Schema มนุษย์ใช้ Schema
ในการตีความหรือสร้างความหมายให้กับประสบการณ์หรือข้อมูลใหม่
เมื่อมีการเรียนรู้เกิดขึ้นจะมีการปรับ Schema ให้มีความครอบคลุม
และมีประสิทธิภาพในการตีความที่สูงขึ้นในเรื่องกระบวนการเรียนการสอนผู้เรียนมีความสำคัญในฐานะผู้ที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุหรือปรากฏการณ์
โดยการสังเกต การวัดหรือประมาณการ การตีความ หรือการกระทำ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจสร้างความคิดรวบยอดต่อสิ่งเหล่านั้น
ผู้เรียนเป็นผู้สร้างแนวทางแก้ปัญหาของตนเอง ดังนั้น กลุ่มConstrustivis จึงเห็นคุณค่าของความคิดริเริ่มความเป็นอิสระในความคิดของผู้เรียน
แม่ให้ความสำคัญและอิทธิพลของบริบทการเรียนรู้และภูมิหลังเกี่ยวกับความเชื่อและ เจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้
Murphy
(1997 : Online ; citing Glasersfield 1999)
อธิบายสรุปได้ว่า บุคคลสร้างความรู้
โดยอาศัยการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและการสื่อสารในขณะที่ตนเองมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนหรือจัดระบบประสบการณ์เดิมของตนเองใหม่ ดังนั้นความรู้จึงไม่สามารถถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ กลาเซอร์ฟิลด์
อธิบายการเรียนรู้ว่าไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้าและการตอบสนอง
แต่การเรียนรู้เกิดจากการกำกับตนเอง (self - regulation) และการสร้างมโนทัศน์จากการสะท้อนความคิดซึ่งกันและกัน
murphy
( murphy1997 : Online) รวบรวมแนวคิดของนักการศึกษาต่างๆ
ในการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ สรุปได้ดังนี้
1 กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้มุมมองที่หลากหลายในการนำเสนอความหมายของมโนทัศน์
2ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและจุดมุ่งหมายการเรียนของตนเองหรือจุดมุ่งหมายของ
การเรียนการสอนเกิดจากการเจรจาต่อรองระหว่างผู้เรียนกับครูผู้สอน
3
สอนแสดงบทบาทเป็นผู้ชี้แนะ ผู้กำกับผู้ฝึกฝนอำนวยความสะดวกในการเรียนของผู้เรียน
4 จัดบริบทของการเรียน เช่น กิจกรรม โอกาส เครื่องมือ สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมวิธีการคิดและการกำกับและรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
5 ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญ
ในการสร้างความรู้และกำกับการเรียนรู้ของตนเอง
6 จัดสถานการณ์การเรียน สภาพแวดล้อม
ทักษะ เนื้อหาและงานที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริง
7 ใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิเพื่อยืนยันสภาพการณ์ที่เป็นจริง
8 ส่งเสริมการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
ด้วยการเจรจาต่อรองทางสังคมและการเรียนรู้
ร่วมกัน
9 พิจารณาความรู้เดิม
ความเชื่อและทัศนคติของนักเรียนประกอบการจัดกิจกรรม
การเรียน
10 ส่งเสริมการแก้ปัญหา
ทักษะการคิดระดับสูงและความเข้าใจเรื่องที่เรียนอย่างลึกซึ้ง
11 นำความผิดพลาด
ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
12 ส่งเสริมให้นักเรียนค้นหาความรู้อย่างอิสระ
วางแผนและการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง
13 ให้นักเรียนได้เรียนรู้งานที่ซับซ้อน
ทักษะและความรู้ที่จำเป็นจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
14 ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ของเรื่องที่เรียน
15อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยให้คำแนะนำหรือให้ทำงานร่วมกัผู้อื่นเป็นต้น
16วัดผลการเรียนรู้ของนักเรียนตามสภาพที่เป็นจริงขณะดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนจากแนวคิดของนักการศึกษาดังกล่าว
Gagnon & Collay (2001 :
2)ได้เสนอแนวคิดในการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Construstivist Learning design) วาดประกอบด้วย 6
ส่วนที่สำคัญได้แก่สถานการณ์ (Situation) การจัดกลุ่ม (Grouping) การเชื่อมโยง(Bridge) การซักถาม (Question) การจัดแสดงผลงาน (Exhibit) และการสะท้อนความรู้สึกในการปฏิบัติงาน
(Reflection)โดยในการออกแบบครั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้ครูผู้สอนวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน(
Reflection about the process of student learning)กล่าวคือ
ครูจะจัดสถานการณ์เพื่อให้นักเรียนอธิบายเรื่องกระบวนการในการจัดกลุ่ม (Grouping)
นักเรียนหรือซื้ออุปกรณ์สำหรับใช้ในการอธิบายสถานการณ์พยายามสร้างความเชื่อมโยง(Bridge) ระหว่างสิ่งที่เป็นความรู้เดิมของนักเรียนกับสิ่งที่นักเรียนต้องการจะเรียนรู้
สรุปคุณลักษณะของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์มีดังนี้
1 ผู้เรียนสร้างความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
2 การเรียนรู้สิ่งใหม่ขึ้นกับความรู้เดิมและความเข้าใจที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3 การมีปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมมีความสำคัญต่อการเรียนรู้
4 การจัดสิ่งแวดล้อมกิจกรรมที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ดังนั้นตัวทฤษฎีเองไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการจัดการเรียนการสอนไม่มีลำดับขั้นการสอน
Henrique (1997)
ศึกษาทิดสะดี Honda Civic แลตีความผิดคดีนี้โดยพิจารณาจากมุมมองด้าน
และตีความผิดคดีนี้โดยพิจารณาจากมุมมองด้านปรัชญา การจิตวิทยา
ด้านญาณวิทยาและด้านการเรียนการสอนและจำแนกทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ได้ 4
แนวคิดได้แก่
1 แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์
แบบกระบวนการทางสมองในการประมวลผล
(information processing approach )หรือแนวคิดแบบการประมวลผลข้อมูลนั้นใช้พื้นฐาน
ที่ว่านักเรียนเรียนรู้สิ่งที่เป็นความจริงไม่ว่าจะเรียนรู้จากครูหรือการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้โดยการประมวลผลข้อมูลนี้ใช้หลักว่ามีความจริงที่เป็นสากลที่สามารถวัดและทำเป็นแบบได้ตามหลักปรัชญาของพอสิทิวิสต์
(positivits philosophical
tradition)มีความจริง
ที่เป็นสากลที่สามารถวัดและทำเป็นแบบได้ ตามหลักปรัชญาของพอสิทิวิสต์ (positivits philosophical tradition)
2. แนวคิดอินเตอร์เอกทีฟคอนสตรัคติวิสท์ (interactive
Constructivist approach) อินเทลแรกทีฟคอนสตรักติวิสต์
เป็นมุมมองที่ว่านักเรียนสร้างความรู้และเรียนรู้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กัน
จับต้องได้และผู้คนรอบข้าง
3. แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์เชิงสังคม (social constructivist
approach) แนวคิดแบบโซชัก สตรักติวิสท์
แนวคิดนี้ใช้หลักการว่าความรู้เกิดขึ้นในระดับชุมชนเมื่อผู้คนที่อยู่ในชุมชนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กัน
4. แนวคิดเรดิคอลคอนสตรัคติวิสท์ (radical constructivist
approach) แนวคิดแบบแรติคือต้น สตรักติวิสท์
แนวคิดนี้เชื่อว่าความคิดมาหมายหลากหลายล้วนแต่มีทางที่จะเป็นจริงได้
แนวคิดนี้จึงบอกว่าไม่ มีความคิดใดเป็นจริงมากกว่ากัน
แนวคิดคอนสตรัคติวิสท์
ทั้ง 4 แนวคิด มีข้อตกลงเบื้องต้นที่อยู่ภายใต้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ เหมือนกัน
สรุปได้ 3 ประการคือ
1. การเรียนรู้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล
ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรู้ของ ตน ไม่มีบุคคลใดสามารถเรียนรู้แทนกันได้
2. ความรู้ ความเข้าใจและความเชื่อที่มีอยู่เดิมส่งผลต่อการเรียนรู้
3. ความขัดแย้งทางความคิดเอื้ออำนวยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้
เพื่อลดความขัดแย้งทางความคิด
ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนทางด้านการศึกษา กล่าวคือ
เปลี่ยนจากรูปแบบ การศึกษาที่อยู่บนพื้นฐานตามทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งเน้นในเรื่องเชาว์ปัญญา (Intelligence) จุดประสงค์
(Domains of objective)ระดับความรู้ (Level of
Knowledge) และการให้แรงเสริม (Reinforcement) มาเป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่เน้นทฤษฎีความรู้ความคิด (Cognitive
theory) ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการ
เรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์ (Constructivist learning) ที่มีความเชื่อที่ว่าผู้เรียนสามารถสร้าง ความรู้ของตนเอง (Construct
their own knowledge) จากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม (Gagnon
& Collay 2001:1)
ข้อตกลงเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสท์
1. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ เมื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้
2. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์ หรือสร้างความหมาย
เมื่อผู้เรียนปฏิบัติ กิจกรรม
3. ผู้เรียนสามารถสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคม
เมื่อต้องการนำความหมายที่ตนเองสร้างขึ้นไป มี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ
การเรียนรู้แบบสร้างความรู้ด้วยตนเองสรุปได้ 3 ขั้น ( http://www2.southeastern.edu/ Academies/
Faculty /rhancock/ theory.htm#CM) ดังนี้
1. การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
2. การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
3. การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ขั้นตอนที่ 1 การทำความรู้ที่มีอยู่ให้กระจ่างแจ้ง
ผู้เรียนแต่ละคนต่างมีความคิดดั้งเดิมและมีความจำเป็นที่จะต้องเลือกหรือปรับเปลี่ยนมโน
ทัศน์ (แนวคิด)ดังกล่าว ความคิดของผู้เรียนนั้นท้าทายความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
ชักชวนให้ผู้เรียนเปลี่ยน แนวคิดและยอมรับความรู้ทางวิชาการที่ถูกต้อง
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 1
สัมภาษณ์หรืออภิปรายกลุ่ม
แบ่งกลุ่มข้อมูลหรือจำแนกข้อมูล
แบ่งกลุ่มข้อมูล เรียงลำดับข้อมูลตามลักษณะบางประการ (เช่น มวลสาร)
จำแนกข้อมูล จัดกลุ่มวัตถุโดยใช้ลักษะทางคุณภาพหรือปริมาณ(สี รูปร่าง
ขนาด) แผนที่ความคิดหรือแผนผังมโนทัศน์ ระดมสมองที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลัก
เหตุการณ์ที่ขัดแย้ง เหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผล
ขั้นตอนที่ 2 การระบุ การได้รับและการเข้าใจข้อมูลใหม่
การวางแผนแบบร่วมกัน : การวางแผนเครื่องมือที่สร้างแรงจูงใจที่เข้มแข็ง
ผู้เรียนได้รับ ข้อมูลว่าจะต้องเรียนรู้อะไรจากหัวข้อบ้าง
อภิปรายเป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ให้ขอบข่าย
สาระสำคัญในเรื่องที่เรียนรู้
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 2
นักจัดการขั้นสูง (advance organizers) ข้อมูลใหม่เชื่อมโยงเข้ากับความรู้เก่าที่มีอยู่แล้ว
ได้อย่างไร
อภิปัญญา (meta-cognition) ผู้เรียนกำกับติดตามการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ผู้เรียนเป็นผู้นำใน การเรียนรู้ด้วยตนเอง
เทคนิควิทยาศาสตร์ (techno-sciencing) ใช้กิจกรรมเป็นฐานประกอบคำอธิบาย
ตัดสินใจด้วยตนเอง ปรัชญาส่วนบุคคล การใช้ความคิดอุปมาอุปมัย
ใช้แนวคิดที่คุ้นเคยนำแนวคิดแบบ อุปมาอุปมัยมาใช้
ขั้นตอนที่ 3 การยืนยันความถูกต้องและการใช้ข้อมูลใหม่
ผู้เรียนได้รับข้อมูลเพื่อสร้างองค์ความรู้
ความรู้ใหม่ที่สร้างขึ้นของคนส่วนใหญ่สร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ความรู้ถูกทำให้กระจ่างและยืนยันความถูกต้องเมื่อผู้เรียนนำความรู้ใหม่ไปประยุกต์ใช้กับสถานการณ์
ความรู้ได้รับจะถูกปรับแต่งตามข้อมูลย้อนกลับที่ได้รับ
กลวิธีสำหรับขั้นตอนที่ 3
· การเรียนรู้แบบร่วมมือ
สร้างความเข้าใจและแสดงออกในรูปการใช้โมเดล ช่วยในการสร้างความเข้าใจ
และยังสาธิตมโนทัศน์ของความเข้าใจ หลักการ และ
กระบวนการที่เป็นเลิศเทคนิคที่ใช้ในการแสวงหาความรู้และการยืนยันความถูกต้อง
ของความรู้
· การทดลอง/ การออกแบบและเทคโนโลยี
ใช้สืบเสาะหาความรู้เป็นฐาน
· วิธีการแบบบูรณาการ
สร้างความเชื่อมโยงระหว่างหัวข้อ คำถามและแนวคิดอื่นๆ
· สาขาวิชา (แนวคิดหลัก)
การประยุกต์ใช้กับชีวิตจริง ช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงสอดคล้องทฤษฎีและการปฏิบัติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น