วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

การวัดและการประเมินผล


การวัดการประเมินผลจะเป็นวิธีการที่ประเมินผลเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรังครูผู้สอน ด้วยเหตุผลที่ว่าการวัดและการประเมินผล จะเป็นวิธีการที่ประเมินความรู้ความสามารถของผู้เรียนตลอดจนใช้เป็นวิธีการในการ
ปฏิบัติงานของผู้สอนได้ว่า ได้ดำเนินการสอนให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่ ไม่ ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นจะต้องมีความรู้ความเข้าใจและสามารถดำเนินการวัดและการ ประเมินผล ได้เป็นอย่างดี
การวัดเป็นกระบวนการเชิงปริมาณในการกำหนดค่าเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทน คุณลักษณะของสิ่งที่วัด โดยอาศัยกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนคำว่าการประเมินผลนั้นเป็นการตัดสินเกี่ยวกับคุณภาพหรือคุณค่าของวัตถุสิ่งของ โครงการการศึกษาพฤติกรรมการทำงานของคนงานหรือความรู้ความสามารถของนักเรียน
จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผล
การวัดและการประเมินผลการศึกษาหรือการเรียนการสอนหรือที่ในปัจจุบันใช้คําว่าการจัดการ เรียนรู้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ดังต่อไปนี้
1. การจัดตำแหน่ง (Placement) เป็นการวัดและการประเมินผลโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เพื่อจัด หรือแบ่งประเภทผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความสามารถอยู่ตรงระดับไหนของกลุ่มเก่ง ปานกลาง หรืออ่อน มาก น้อยเท่าใด ซึ่งสามารถใช้ได้หลาย ๆ กรณี ตัวอย่างเช่น เมื่อจะรับผู้เรียนเข้าสถานศึกษา ผู้เรียนแต่ละคนจะมี ความแตกต่างกันทั้งด้านสติปัญญา ความสนใจ ความถนัด รวมทั้งบุคลิกภาพด้านต่างๆ ที่จะต้องมีการ กดเลือกว่าจะรับผู้เรียนประเภทใดหรือไม่รับประเภทใดและถ้ารับเข้ามาแล้วจะจัดแบ่งสาขาวิชาหรือชั้นเรียน อย่างไร ดังนั้นผู้สอนหรือสถานศึกษาก็จะสามารถใช้การวัดและการประเมินผลมาเป็นเกณฑ์ในการจัดหรือแบ่งประเภทได้อย่างยุติธรรม
2. การวินิจฉัย (Diagnosis) คําๆนี้ มักจะใช้ในทางการแพทย์ โดยเมื่อแพทย์ตรวจคนใช้แล้ว แพทย์ จะต้องวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นโรคอะไร หรือมีสาเหตุอะไรที่ทําให้ไม่สบาย ซึ่งจะเป็นการหาสมมติฐานของโรค เพื่อนําไปสู่การรักษา สําหรับในทางการศึกษานั้น การวัดและการประเมินผลที่เป็นไปเพื่อการวินิจฉัยว่า ผู้เรียนคนใดมีความสามารถทางด้านใดและเมื่อสอนไปแล้วในแต่ละวิชามีส่วนใดที่ผู้เรียนเข้าใจ ชัดเจน ถูกต้องหรือไม่เข้าใจ เข้าใจยังไม่ถูกต้อง ผู้สอนจะได้สอนหรือแนะนําทําความเข้าใจใหม่ได้ถูกต้อง
3. การเปรียบเทียบ (Assessment) จุดประสงค์ของการวัดและการประเมินผลในข้อนี้เป็นไปเพื่อการ เปรียบเทียบความเจริญงอกงามหรือพัฒนาการของการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยการที่ผู้สอนอาจจะสอบวัด ความรู้ความสามารถของผู้เรียนไว้ก่อนเมื่อเริ่มเรียนแล้ว หลังจากนั้นเมื่อเลิกเรียนไปแล้วระยะหนึ่ง หรือเมื่อ เรียนไปจนจบแล้วผู้สอนอาจจะสอบเพื่อวัดและประเมินผลอีกครั้งว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นการแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าหรือพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยเปรียบเทียบจาก ผลการสอบก่อนเรียนกับผลการสอบหลังจากที่เรียนไปแล้ว
4. การพยากรณ์ (Prediction) เป็นการวัดหรือประเมินผลเพื่อช่วยในการพยากรณ์ทํานายหรือ คาดการณ์และแนะนําว่าผู้เรียนคนนั้นๆ ควรจะเรียนอย่างไร จึงจะประสบความสําเร็จและสอดคล้องกับ ความสามารถ ความถนัดหรือความสนใจของแต่ละบุคคล ในทางจิตวิทยาการศึกษานั้นเชื่อกันว่าคนเราทุกคน มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ดังนั้น หากสามารถจัดการศึกษา หรือการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ ความถนัด ความสนใจ หรือความรู้ความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนได้ ก็จะทําให้การศึกษาหรือการเรียนรู้ ในเรื่องนั้นๆ ได้รวดเร็วและประสบความสําเร็จในการเรียนได้เป็นอย่างดี
5. การป้อนผลย้อนกลับ (Feedback) เป็นการวัดและการประเมินผลเพื่อนําผลประเมินที่ได้ไปใช้ใน การปรับปรุง การจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อๆ ไป ผลย้อนกลับนี้มีได้ทั้งส่วนที่เป็นของผู้สอนและส่วนที่ เป็นของผู้เรียน ในส่วนของผู้สอนเมื่อการจัดการเรียนการสอนผ่านไปแต่ละบทเรียนหรือเมื่อจบการเรียนการ สอนแล้ว ผู้สอนควรมีการวัดและประเมินผลเพื่อดูว่าเทคนิค วิธีการสอน สื่อการเรียนการสอน เนื้อหาหรือ กิจกรรมที่จัดให้กับผู้เรียนนั้นเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์หรือไม่ อย่างไร มีส่วนใดบ้างที่จําเป็นต้อง ปรับปรุงแก้ไขส่วนใดบ้างที่ดีอยู่แล้ว สําหรับในส่วนของผู้เรียนนั้น เมื่อมีการวัดและการประเมินผลแล้ว ผู้เรียนก็จะได้รับรายงานผลของตนเอง ทําให้ทราบว่าตนเองนั้นมีความรู้ระดับใด และมีเรื่องใดบ้างที่เรียนรู้ แล้วเข้าใจชัดเจน เรื่องใดบ้างที่ยังต้องการศึกษาเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้เรียนในการศึกษา ขั้นสูงต่อๆ ไป
6. การเรียนรู้ (Learning Experience) เป็นการวัดและการประเมินผลที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นตัวกระตุ้น ในรูปแบบต่างๆ ที่ทําให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีแล้วยังทําให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีของผู้เรียนอีกด้วย เนื่องจาก ในกรณีที่มีการสอบเพื่อวัดและประเมินผลนี้ ก่อนสอบผู้เรียนจะต้องมีการเตรียมตัวสอบจะต้องมีการทบทวน เนื้อหาวิชาที่เรียนศึกษาค้นคว้า และเมื่อผู้เรียนเข้าทําข้อสอบ ต้องใช้ความคิดในหลายๆ แง่มุม เช่น คิดแก้ปัญหา คิดคํานวณ คิดหาสรุป เป็นต้น ซึ่งการคิดเหล่านี้เป็น การที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ

การวัดและการประเมินผลนอกจากจะมีจุดประสงค์ดังกล่าวแล้ว บลูม (Bloom, 1971, p.56) ได้เสนอ ประสงค์ที่จะทําการวัดและการประเมินผล โดยเน้นที่จุดประสงค์หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้ ไว้ดังนี้
1.      วัดทางปัญญาหรือพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
2        วัดทางความรู้สึกนึกคิดหรือจิตพิสัย (Affective Domain)
3.วัดความสามารถในการใช้อวัยวะต่างๆ หรือทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผล
เครื่องมือและเทคนิควิธีที่ใช้ในการวัดและการประเมินผลการเรียนการสอนนั้นมีมากมายหลาย ชนิด แต่ที่รู้จักและนิยมใช้กันเป็นส่วนมาก ได้แก่
1. การสังเกต เป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้สังเกต สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนใน สภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งในและนอกห้องเรียนการสังเกตโดยทั่วๆ ไปเป็นการเฝ้าดูพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ถูก สังเกต ซึ่งอาจจะเฝ้าดูไปตามเรื่องไม่ได้กําหนดหรือวางแผนว่าจะสังเกตอะไร อย่างไร สังเกตอะไรก่อน-หลัง เมื่อมีพฤติกรรมอะไรเกิดขึ้นก็สังเกตและจดบันทึกไว้ทั้งหมดหรืออาจจะเฝ้าดูอย่างมีแผนการ กําหนดไว้ แน่นอนว่าจะสังเกตอะไรบ้างและสังเกตอย่างไร ตัวอย่างเช่น ต้องการจะวัดว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งมี พฤติกรรมก้าวร้าวอย่างไรบ้าง อาจกําหนดแผนงานในการสังเกตเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อคอยสังเกต พฤติกรรมก้าวร้าวของผู้เรียนคนนั้นว่าแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวอะไรออกมาบ้าง และมีการแสดงออกอย่างไร พร้อมทั้งจดบันทึกผลไว้แล้วนํามาประเมินผลในภายหลัง เป็นต้น การสังเกตทั้งสองวิธีนี้มีทั้งข้อดีและ ข้อบกพร่องแตกต่างกัน คือ การสังเกตอย่างไม่มีแผนล่วงหน้า อาจจะเสียเวลาน้อย แต่จะได้พฤติกรรมที่ เกิดขึ้นอย่างมาก โดยที่บางพฤติกรรมอาจไม่ตรงกับที่ต้องการจะสังเกตก็ได้ ส่วนการสังเกตอย่างมีแผนการ จะเสียเวลาเฝ้าคอยพฤติกรรมนั้นๆ นาน แต่จะได้เฉพาะพฤติกรรมที่ต้องการสังเกตจริงๆ เท่านั้น
2. การสัมภาษณ์ เป็นการพูดคุยซักถามกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนมีการซักถามโต้ตอบซึ่งกัน และกัน การสัมภาษณ์ อาจทําได้สองแบบเช่นเดียวกัน คือ แบบไม่มีแบบแผนและแบบมีแผน โดยเฉพาะแบบ แผนนั้น จะกระทําเพื่อหาข้อมูลบางอย่างโดยมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน มีแนวการสัมภาษณ์และกําหนดเป็น คำถามไว้ล่วงหน้า ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยจะใช้การถามเพื่อล้วงหาคําตอบแบบหยั่งลึกก็ได้ การสัมภาษณ์วิธีการบันทึกผลการสัมภาษณ์และการตั้งเกณฑ์สําหรับคนที่จะผ่านการสัมภาษณ์ด้วย การวัดและการสัมภาษณ์ประเมินผล โดยใช้การสัมภาษณ์นี้มีข้อดีตรงที่ผู้สัมภาษณ์จะได้ผลจากการสัมภาษณ์ที่เป็นข้อมูลสภาพจริง ของผู้ตอบ ได้ทราบความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้อย่างใกล้ชิดแต่อาจต้องใช้เวลามาก
3. การให้ปฏิบัติ เป็นการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติให้ดูว่าสามารถทําได้ตามที่เรียนรู้หรือไม่ เช่น การสอนเขียนแบบ เมื่อผู้สอนสอนหลักการไปแล้วก็ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติเขียนแบบตามหลักการที่สอนมา ให้ดู เป็นต้น การวัดโดยให้ปฏิบัติและประเมินผลจากผลการปฏิบัตินั้นๆ ถือเป็นวิธีการวัดและประเมินผลที่ดี อีกวิธีหนึ่งในบางสาขาวิชา โดยเฉพาะสาขาวิชาที่เกี่ยวกับการสอนทักษะต่างๆ
4. การศึกษากรณี เป็นเทคนิคการศึกษาแก้ปัญหา หรือปรากฏการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดย ละเอียดลึกซึ้งเป็นรายๆ ไป เช่น การค้นหาสาเหตุของผู้เรียนที่มาโรงเรียนสายเป็นประจําหรือผู้เรียนที่ไม่ ตั้งใจเรียนและชอบหนีโรงเรียน เป็นต้น ในการศึกษาจะใช้เทคนิคและเครื่องมือหลายชนิดมารวบรวมข้อมูล ในเรื่องต่างๆ ที่ศึกษาและบันทึกผลไว้ แล้วนํามาวิเคราะห์ สรุปหาสาเหตุของปัญหาหรือประเด็นที่ต้องการ ศึกษาอย่างแท้จริง
5. การให้จิตนาการ เป็นเครื่องมือวัดทางจิตวิทยาที่สร้างขึ้นเพื่อล้วงความรู้สึกนึกคิดของผู้ถูกวัด ออกมาอย่างไม่ให้เจ้าตัวรู้สึกและให้เจ้าตัวเห็นว่าเป็นความรู้สึกหรือปฏิกิริยาของคนอื่น การวัดและการ ประเมินผลด้วยวิธีนี้มักใช้วัดทางด้านบุคลิกภาพ เช่น เจตคติ ความสนใจ อารมณ์ ค่านิยม นิสัยและอุปนิสัย เป็นต้น การให้จินตนาการมีหลายแบบ เช่น แบบเติมประโยคให้สมบูรณ์ แบบให้แสดงออกหรืออธิบายภาพ ที่เลือนลาง แบบเรียงลําดับ เป็นต้น การให้จินตนาการนี้เหมาะสําหรับผู้ที่มีปัญหาในการพูด หรือลําบากใจ ในการโต้ตอบซักถามได้เป็นอย่างดี เพราะจะทําให้ได้การวัดและการประเมินผลที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงความ จริงมากที่สุด
6. การใช้แบบสอบถาม เป็นวิธีที่จะต้องมีแบบสอบถามเป็นชุดของคําถามที่ถูกจัดเรียงไว้อย่าง เป็นระบบระเบียบ พร้อมที่จะส่งให้ผู้ตอบอ่านและตอบด้วยตนเอง คําถามที่ใช้จะเป็นคําถามที่ใช้ถาม ข้อเท็จจริงและความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คําถามใน แบบสอบถามนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ แบบคําถามเปิด ผู้ตอบต้องหาคําตอบมาใส่เองและแบบคําถามปิดผู้ตอบเลือกตอบจากคําตอบที่ กําหนดให้
การประเมินผลตามระบบการวัดผล
ในกระบวนการเรียนการสอนนั้น จะต้องมีการวัดและการประเมินผลเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ถึงสัมฤทธิผล ในการเรียนรู้ของผู้เรียนและประสิทธิภาพของผู้สอน ดังนั้นเมื่อมีการวัดผลด้วยเครื่องมือเทคนิควิธีใดๆ แล้ว จะต้องนําผลที่ได้จากการวัดนั้นมาประเมินผลด้วยระบบการวัดผลมาตรฐานซึ่งได้แก่
1. การประเมินผลแบบผลแบบอิงกลุ่ม เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบผลงานหรือคะแนน ของผู้เรียนแต่ละคนกับผู้เรียนคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน โดยใช้งานหรือแบบทดสอบชนิดเดียวกันหรือฉบับเดียวกัน จุดมุ่งหมายหลักของการประเมินผลแบบนี้เพื่อต้องการจำแนกหรือจัดลำดับบุคคลในกลุ่มนั้นๆ ตาม " ตั้งแต่สงสุดจนถึงต่ำสุด โดยยึดระดับผลสัมฤทธิ์ เช่น การสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อใน จะมีการแปลคะแนนของผู้สอบออกมาในรูปของคะแนนมาตรฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นการจัดคะแนนในรูปของเปอร์เซนไทล์ หรือ เดไซค์ก็ได้ แบบทดสอบสําหรับการประเมินผลประเภทนี้ ควรมีความยากง่ายพอเหมาะยากง่ายพอเหมาะ คือไม่ยากหรือง่ายจนเกินไป ค่าที่พอเหมาะคือค่าความยากง่ายที่ 50 % ค่าอำนาจจำแนกสูง ดังนั้นการได้คะแนนสูงหรือต่ำของผู้เรียนจะถือว่าเป็นเพราะความแตกต่างของตัวผู้เรียน ความเป็นมาตรฐานของข้อสอบที่สามารถแยกให้เห็นถึงความแตกต่างของคะแนนได้ การ ผลมแบบอิงกลุ่มนี้จะบอกได้แต่เพียงว่า ผู้เรียนคนหนึ่งสามารถทำได้ถูกต้องกว่าคนอื่นๆ อยู่กี่คน โดยไม่สามารถบอกได้ว่าผู้เรียนทําแบบทดสอบได้ถูกต้องทุกข้อ หรือถูกต้อง 70% หรือ 30%
2. การประเมินแบบอิงเกณฑ์ เป็นการประเมินผลเพื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กําหนดขึ้น เพื่อดูว่า หรือการสอบของผู้เรียนผ่านเกณฑ์ที่กําหนดไว้หรือไม่เพียงใด โดยไม่คํานึงถึงอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน มาอย่างเช่น การสอบวิชาหลักการสอนให้ผ่าน จะต้องได้เกรดไม่ต่ํากว่า 2 หรือ C. คนที่สอบได้เท่ากับหรือ มากกว่า 2 หรือ C. ถึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น