วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ


4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ (Process Skills)
ทักษะกระบวนการเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับวิธีดําเนินการต่างๆ ซึ่งอาจเป็นกระบวนกา สติปัญญา เช่น กระบวนการสืบสอบแสวงหาความรู้ หรือกระบวนการคิดต่างๆ อาทิ การคิดวิเคราะ อุปนัย การนิรนัย การใช้เหตุผล การสืบสอบ การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณา เป็นต้น ปัจจุบันการศึกษาให้ความสําคัญในเรื่องนี้มาก เพราะถือเป็นเครื่องมือสําคัญในการดํารงชีวิต ใน ที่นี้ ผู้เขียนได้คัดเลือกรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาผู้เรียนในด้านกระบวนการมานําเสนอ 4 รูปแบบ ดังนี้
4.1 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบ และแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม
4.2 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนัย
4.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์
4.4 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวของทอร์แรนซ์
4.1 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบ และแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม (Group Investigation Instructional Model)
ก. หลักการ/ทฤษฎีแนวคิดของรูปแบบ
จอยส์และวีล (Joyce & Well, 1996 : 80 - 88) เป็นผู้พัฒนารูปแบบนี้จากแนวคิด หลักของเธเลน (Thelen) 2 แนวคิด คือแนวคิดเกี่ยวกับการสืบเสาะแสวงหาความรู้ (inquiry) และแนวคิด เกี่ยวกับความรู้ (knowledge) เธเลนได้อธิบายว่า สิ่งสําคัญที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกหรือความ ต้องการที่จะสืบค้นหรือเสาะแสวงหาความรู้ก็คือตัวปัญหา แต่ปัญหานั้นจะต้องมีลักษณะที่มีความหมาย ต่อผู้เรียนและท้าทายเพียงพอที่จะทําให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะแสวงหาคําตอบ นอกจากนั้นปัญหาที่ มีลักษณะชวนให้เกิดความงุนงงสงสัย (puzzlement) หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด จะยิ่งทําให้ ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเสาะแสวงหาความรู้หรือคําตอบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมนุษย์อาศัยอยู่ในสังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม เพื่อสนองความต้องการของตนทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคม ความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลหรือในกลุ่ม จึงเป็นสิ่งที่บุคคลต้อง พยายามหาหนทางขจัดแก้ไขหรือจัดการทําความกระจ่างให้เป็นที่พอใจหรือยอมรับทั้งของตนเองและ ผู้เกี่ยวข้อง ส่วนในเรื่อง “ความรู้” นั้น เธเลน มีความเห็นว่า ความรู้เป็นเป้าหมายของกระบวนการสืบสอบ ทั้งหลาย ความรู้เป็นสิ่งที่ได้จากการนําประสบการณ์หรือความรู้เดิมมาใช้ในประสบการณ์ใหม่ ดังนั้น ความรู้จึงเป็นสิ่งที่ค้นพบผ่านทางกระบวนการสืบสอบ (inquiry) โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์


ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาทักษะในการสืบสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจ โดย อาศัยกลุ่มซึ่งเป็นเครื่องมือทางสังคมช่วยกระตุ้นความสนใจหรือความอยากรู้ และช่วยดําเนินงานการ แสวงหาความรู้หรือคําตอบที่ต้องการ
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ที่ชวนให้งนงงสงสัย
ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ใช้ในการกระตุ้นความสนใจและความต้องการในการ สืบสอบและแสวงหาความรู้ต่อไปนั้นควรเป็นปัญหาหรือสถานการณ์ที่เหมาะสม กับวัย ความสามารถ และความสนใจของผู้เรียนและจะต้องมีลักษณะที่ชวนให้งุนงงสงสัย (puzzlement) เพื่อท้าทายความคิด และความใฝรู้ของผู้เรียน
ขั้นที่ 2 ให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาหรือสถานการณ์นั้น
ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และพยายามกระตุ้นให้ เกิดความขัดแย้ง หรือความแตกต่างทางความคิดขึ้น เพื่อท้าทายให้ผู้เรียน พยายามหาทางเสาะแสวงหา ข้อมูลหรือวิธีการพิสูจน์ทดสอบความคิดของตน เมื่อมีความแตกต่างทางความคิดเกิดขึ้น ผู้สอนอาจให้ ผู้เรียนที่มีความคิดเห็นเดียวกันรวมกลุ่มกัน หรืออาจรวมกลุ่มโดยให้แต่ละกลุ่มมีสมาชิกที่มีความคิดเห็น แตกต่างกันก็ได้
ขั้นที่ 3 ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนในการแสวงหาความรู้
เมื่อกลุ่มมีความคิดเห็นแตกต่างกันแล้ว สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนว่า จะ แสวงหาข้อมูลอะไร กลุ่มจะพิจารณาอะไร จะตั้งสมมติฐานอะไร กลุ่มจําเป็นต้องมีข้อมูลอะไร และจะไป แสวงหาที่ไหน หรือจะได้ข้อมูลนั้นมาได้อย่างไร จะต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว จะ วิเคราะห์อย่างไร และสรุปผลอย่างไร ใครจะช่วยทําอะไร จะใช้เวลาเท่าใด ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้อง ฝึกทักษะการสืบสอบ (inquiry) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific process) และทักษะ กระบวนการกลุ่ม (group process) ผู้สอนทําหน้าที่อํานวยความสะดวกในการทํางานให้แก่ผู้เรียน รวมทั้ง ให้คําแนะนําเกี่ยวกับการวางแผน แหล่งความรู้ และการทํางานร่วมกัน
ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนดําเนินการแสวงหาความรู้
ผู้เรียนดําเนินการเสาะแสวงหาความรู้ตามแผนงานที่ได้กําหนดไว้ ผู้สอนช่วย อํานวยความสะดวก ให้คําแนะนํา และติดตามการทํางานของผู้เรียน
ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลข้อมูล นําเสนอและอภิปรายผล
เมื่อกลุ่มรวบรวมข้อมูลได้มาแล้ว กลุ่มทําการวิเคราะห์ข้อมูล และสรุปผล ผู้สอน ช่วยให้คําแนะนําเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ต่อจากนั้นจึงให้แต่ละกลุ่มนําเสนอผล อภิปราย ผลร่วมกันทั้งชั้น และประเมินผลทั้งทางด้านผลงานและกระบวนการเรียนรู้ที่ได้รับ
ขั้นที่ 6 ให้ผู้เรียนกําหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการสืบเสาะหาคําตอบต่อไป
การสืบสอบและแสวงหาความรู้ของกลุ่มตามขั้นตอนข้างต้น ช่วยให้กลุ่มได้รับ ความรู้ ความเข้าใจ และคําตอบในเรื่องที่ศึกษาและอาจจะพบประเด็นที่เป็นปัญหาชวนให้สุนงงสงสัยหรือ อยากรู้ต่อไป ผู้เรียนสามารถเริ่มต้นวงจรการเรียนรู้ใหม่ ตั้งแต่ขั้นที่ 1 เป็นต้นไป การเรียนการสอนตาม รูปแบบนี้ จึงอาจมีต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ตามความสนใจของผู้เรียน
ง.ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจาการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถสืบสอบและเสาะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง เกิดความใฝ่รู้ และมีความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น และได้พัฒนาทักษะการสืบสอบ (inquiry skills) ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific process) และทักษะกระบวนการกลุ่ม (group process)
4.2 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนัย (Inductive Thinking Instructional Model)
ก. ทฤษฎีหลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบนี้ จอยส์ และวีล (Joyce & Well, 1967 : 149 - 159) พัฒนาขึ้นโดยใช้ แนวคิดของทาบา (Taba, 1967 : 90 - 92) ซึ่งเชื่อว่าการคิดเป็นสิ่งที่สอนได้ การคิดเป็นกระบวนการ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและข้อมูล และกระบวนการนี้มีลําดับขั้นตอน ดังเช่นการคิดอุปนัย (inductive thinking) จะต้องเริ่มจากการสร้างความคิดรวบยอด หรือมโนทัศน์ก่อน (concept formation) แล้วจึงถึงขั้น การตีความข้อมูล และสรุป (interpretation of data) ต่อไปจึงนําข้อสรุปหรือหลักการที่ได้ไปประยุกต์ใช้ (application of principles)
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิดแบบอุปนัยของผู้เรียนช่วยให้ผู้เรียนใช้ กระบวนการคิดดังกล่าวในการสร้างมโนทัศน์และประยุกต์ใช้มโนทัศน์ต่างๆ ได้
ค. กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบ
ขั้นที่ 1 การสร้างมโนทัศน์ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนย่อยคือ
1.1 ให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งที่จะศึกษา และเขียนรายการสิ่งที่สังเกตเห็น หรืออาจ ใช้วิธีอื่นๆ เช่น ตั้งคําถาม ให้ผู้เรียนตอบในขั้นนี้ผู้เรียนจะต้องได้รายการของสิ่งต่างๆ ที่ใช่หรือไม่ใช่ ตัวแทนของมโนทัศน์ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
1.2 จากรายการของสิ่งที่เป็นตัวแทนและไม่เป็นตัวแทนของมโนทัศน์นั้น ให้ ผู้เรียนจัดหมวดหมู่ของสิ่งเหล่านั้น โดยการกําหนดเกณฑ์ในการจัดกลุ่ม ซึ่งก็คือคุณสมบัติที่เหมือนกัน ของสิ่งเหล่านั้น ผู้เรียนจะจัดสิ่งที่มีคุณสมบัติที่เหมือนกันไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน
1.3 ตั้งชื่อหมวดหมู่ที่จัดขึ้น ผู้เรียนจะต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นหัวข้อใหญ่ อะไรเป็นหัวข้อย่อย และตั้งชื่อหัวข้อให้เหมาะสม
ขั้นที่ 2 การตีความและสรุปข้อมูล ประกอบด้วย 3 ขั้นย่อยดังนี้
2.1 ระบุความสัมพันธ์ของข้อมูล ผู้เรียนศึกษาข้อมูลเพื่อให้เข้าใจข้อมูล และ เห็นความสัมพันธ์ที่สําคัญๆ ของข้อมูล
2.2 สํารวจความสัมพันธ์ของข้อมูล ผู้เรียนศึกษาข้อมูลและความสัมพันธ์ของ ข้อมูลในลักษณะต่างๆ เช่น ความสัมพันธ์ในลักษณะของเหตุและผลความสัมพันธ์ของข้อมูลในหมวดนี้ กับข้อมูลในหมวดอื่น จนสามารถอธิบายได้ว่าข้อมูลต่างๆ สัมพันธ์กันอย่างไรและด้วยเหตุผลใด
2.3 สรุปอ้างอิง เมื่อค้นพบความสัมพันธ์หรือหลักการแล้วให้ ผู้เรียนสรุป อ้างอิงโดยโยงสิ่งที่ค้นพบไปสู่สถานการณ์อื่นๆ
ขั้นที่ 3 การประยุกต์ใช้ข้อมูลหรือหลักการ
3.1 นําข้อสรุปมาใช้ในการทํานาย หรืออธิบายปรากฏการณ์อื่นๆ และฝึก ตั้งสมมติฐาน
3.2 อธิบายให้เหตุผลและข้อมูลสนับสนุนการทํานายและสมมติฐานของตน
3.3 พิสูจน์ ทดสอบ การทํานายและสมติฐานของตน
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถสร้างมโนทัศน์ และประยุกต์ใช้มโนทัศน์นั้นด้วยกระบวนการ คิดแบบอุปนัย และผู้เรียนสามารถนํากระบวนการคิดดังกล่าวไปใช้ในการสร้างมโนทัศน์อื่นๆ ต่อไปได้
4.3 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ (Synectics Instructional Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ หรือ “Synectics Instructional Model” นี้ เป็นรูปแบบที่จอยส์ และวีล (Joyce and Well, 1966 : 239- 253) พัฒนาขึ้นจาก แนวคิดของ กอร์ดอน (Gordon) ที่กล่าวว่าบุคคลทั่วไปมักยึดติดกับวิธีคิดแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ของตน โดยไม่ค่อยคํานึงถึงความคิดของคนอื่น ทําให้ความคิดของตนคับแคบและไม่สร้างสรรค์ บุคคลจะเกิด ความคิดเห็นที่สร้างสรรค์แตกต่างไปจากเดิมได้ หากมีโอกาสได้ลองคิดมาก่อน หรือคิดโดยสมมติตัวเอง เป็นคนอื่น และถ้ายิ่งให้บุคคลจากหลายกลุ่มประสบการณ์มาช่วยกันแก้ปัญหา ก็จะยิ่งได้วิธีการที่ หลากหลายขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นกอร์ดอนจึงได้เสนอให้ผู้เรียนมีโอกาสคิดแก้ปัญหาด้วย แนวความคิดใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนเดิมไม่อยู่ในสภาพที่เป็นตัวเองให้ลองใช้ความคิดในฐานะที่เป็นคนอื่น หรือเป็นสิ่งอื่น สภาพเช่นนี้จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดใหม่ๆ ขึ้นได้ กอร์คอนเสนอวิธีการคิด เปรียบเทียบแบบอุปมาอุปไมยเพื่อใช้ในการกระตุ้นความคิดใหม่ๆ ไว้ 3 แบบ คือ การเปรียบเทียบแบบ ตรง (direct analogy) การเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ (personal analogy) และการเปรียบเทียบคําคู่ ขัดแย้ง (compressed conflict) วิธีการนี้มีประโยชน์มากเป็นพิเศษสําหรับการเรียนรู้เกี่ยวกับการเขียนและ การพูดอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งการสร้างสรรค์งานทางศิลปะ
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดแนวคิดที่ ใหม่แตกต่างไปจากเดิม และสามารถนําความคิดใหม่นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นนํา ผู้สอนให้ผู้เรียนทํางานต่างๆ ที่ต้องการให้ผู้เรียนทํา เช่นให้เขียน บรรยาย เล่า ทําแสดง วาดภาพ สร้าง ปั้น เป็นต้น ผู้เรียนทํางานนั้นๆ ตามปกติที่เคยทํา เสร็จแล้ว ให้เก็บ ผลงานไว้ก่อน
ขั้นที่ 2 ขั้นการสร้างอุปมาแบบตรงหรือแบบเปรียบเทียบแบบตรง (direct analogy) ผู้สอนเสนอคําคู่ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง เช่น ลูกบอล กับมะนาว เหมือนหรือต่างกันอย่างไร คําคู่ที่ผู้สอนเลือกมาควรให้มีลักษณะที่สัมพันธ์กับเนื้อหาหรืองานที่ผู้เรียนทํา ในขั้นที่ 1 ผู้สอนเสนอคําคู่ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบหลายๆ คู่และจดคําตอบของผู้เรียนไว้บนกระดาษ
ขั้นที่ 3 ขั้นการสร้างอุปมาบุคคลหรือเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ (personal analogyาผู้สอนให้ผู้เรียนสมมติตัวเองเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และแสดงความรู้สึกออกมา เช่น ถ้าเปรียบผู้เรียน เป็นเครื่องซักผ้า จะรู้สึกอย่างไร ผู้สอนจอคําตอบของผู้เรียนไว้บนกระดาษ
ขั้นที่ 4 ขั้นการสร้างอุปมาคําคู่ขัดแย้ง (compressed conflict) ผู้สอนให้ผู้เรียนนํา คําหรือวลีที่ได้จากการเปรียบเทียบในขั้นที่ 2 และ 3 มาประกอบกันเป็นคําใหม่ที่มีความหมายขัดแย้งกัน ในตัวเอง เช่น ไฟเย็น น้ําผึ้งขม มัจจุราชสีน้ําผึ้ง เชือดนิ่มๆ เป็นต้น
ขั้นที่ 5 ขั้นการอธิบายความหมายของคําคู่ขัดแย้ง ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันอธิบาย ความหมายของคําคู่ขัดแย้งที่ได้
ขั้นที่ 6 ขั้นนําความคิดใหม่มาสร้างสรรค์งาน ผู้สอนให้ผู้เรียนนํางานที่ทําไว้เดิม ในขั้นที่ 1 ออกมาทบทวนใหม่ และลองเลือกนําความคิดที่ได้มาใหม่จากกิจกรรมขั้นที่ 5 มาใช้ในงานของ ตน ทําให้งานของตนมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจาการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดความคิดใหม่ๆ และสามารถนําความคิดใหม่ๆ นั้นไปใช้ในงานของ ตน ทําให้งานของตนมีความแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น นอกจากนั้น ผู้เรียนยังเกิดความตระหนักใน คุณค่าของการคิด และความคิดของผู้อื่นอีกด้วย
4.4 รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของทอง USH (Torrance's Future Problem - Solving Instructional Model)
ก. ทฤษฎี หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนนี้พัฒนามาจากรูปแบบการคิดแก้ปัญหาอนาคตตาม แนวคิดของทอร์แรนซ์ (Torrance,1962) ซึ่งได้นําองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ 3 องค์ประกอบ คือ การคิดคล่องแคล่ว (fluency) การคิดยืดหยุ่น (flexibility) การคิดริเริ่ม (originality) มาใช้ประกอบกัน
กระบวนการคิดแก้ปัญหา และการใช้ประโยชน์จากกลุ่มซึ่งมีความคิดหลากหลาย โดยเน้นการใช้เทคนิค ระดมสมองเกือบทุกขั้นตอน
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้ตระหนักรู้ในปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และ เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาร่วมกัน ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดจํานวนมาก
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 การนําสภาพการณ์อนาคตเข้าสู่ระบบการคิด
นําเสนอสภาพการณ์อนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้การคิด คล่องแคล่ว การคิดยืดหยุ่น การคิดริเริ่ม และจินตนาการ ในการทํานายสภาพการณ์ อนาคตจากข้อมูล ข้อเท็จจริง และประสบการณ์ของตน
ขั้นที่ 2 การระดมสมองเพื่อค้นหาปัญหา
จากสภาพการณ์อนาคตในขั้นที่ 1 ผู้เรียนช่วยกันวิเคราะห์ว่าอาจจะเกิดปัญหา อะไรขึ้นบ้างในอนาคต
สรุปปัญหา และจัดลําดับความสําคัญของปัญหา
ผู้เรียนนําปัญหาที่วิเคราะห์ได้มาจัดกลุ่ม หรือจัดความสัมพันธ์เพื่อกําหนดว่าอะไร เป็นปัญหาหลัก อะไรเป็นปัญหารอง และจัดลําดับความสําคัญของปัญหา
ขั้นที่ 4 การระดมสมองหาวิธีการแก้ปัญหา ผู้เรียนร่วมกันคิดวิธีแก้ปัญหา โดยพยายามคิดให้ได้ทางเลือกที่แปลกใหม่ จํานวนมาก
ขั้นที่ 5 การเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
เสนอเกณฑ์หลายๆ เกณฑ์ที่จะใช้ในการเลือกวิธีการแก้ปัญหา แล้วตัดสินใจเลือก เกณฑ์ที่มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในแต่ละสภาพการณ์ ต่อไปจึงนําเกณฑ์ที่คัดเลือกไว้มาใช้ ในการเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด โดยพิจารณาถึงน้ําหนักความสําคัญของเกณฑ์แต่ละข้อด้วย
ขั้นที่ 6 การนําเสนอวิธีแก้ปัญหาอนาคต
ผู้เรียนนําวิธีการแก้ปัญหาอนาคตที่ได้ มาเรียบเรียงอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม ข้อมูลที่จําเป็น คิดวิธีการนําเสนอที่เหมาะสมและนําเสนออย่างเป็นระบบน่าเชื่อถือ
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหา และตระหนักรู้ในปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ในอนาคต และสามารถใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหามาใช้ในการคิดแก้ปัญหาปัจจุบัน และป้องกันปัญหาที่ จะเกิดขึ้นในอนาคต


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น