วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562

รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ


5. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ (Integration)
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบที่พยายามพัฒนาการเรียนรู้ด้านต่างๆ ของผู้เรียนไปพร้อมๆ กัน โดยใช้การบูรณาการทั้งทางด้านเนื้อหาสาระและวิธีการรูปแบบในลักษณะนี้ กําลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีความสอดคล้องกับหลักทฤษฎีทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนา รอบด้านหรือการพัฒนาเป็นองค์รวม รูปแบบในลักษณะดังกล่าวที่นํามานําเสนอในที่นี้มี 4 รปแบบใหญ่ๆ คือ
1. รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
2. รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง
3. รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4MAT
 4. รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
4.1 รูปแบบจิ๊กซอร์ (JIGSAW)
4.2 รูปแบบเอส. ที. เอ. ดี (STAD)
4.3 รูปแบบ ที. เอ. ไอ. (TA)
4.4 รูปแบบ ที. จี. ที. (TGT)
4.5 รูปแบบแอล. ที. (LT)
4.6 รูปแบบ จี. ไอ (GI)
4.7 รูปแบบ ซี. ไอ. อาร์. ซี. (CIRC)
4.8 รูปแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction)
1. รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง (Direct Instruction Model)
ก. ทฤษฎีหลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
จอยส์ และวีล (Joyce and Weil, 1996 : 334) อ้างว่า มีงานวิจัยจํานวนไม่น้อยที่ ชี้ให้เห็นว่า การสอนมุ่งเน้นการให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน ทําให้ ผู้เรียนมีความตั้งใจในการเรียนรู้และช่วยให้ผู้เรียนประสบความสําเร็จในการเรียน การเรียนการสอนโดย จัดสาระและวิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีทั้งทางด้านเนื้อหา ความรู้และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่าง ประสิทธิภาพ (academic learning)เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากที่สุด ผู้เรียนมของ จดจ่อกับสิ่งที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียนถึง 80% ประสบความสําเร็จในการเรียน นอกจากนั้นยง บรรยากาศการเรียนที่ไม่ปลอดภัยสําหรับผู้เรียน สามารถสกัดกั้นความสําเร็จของผู้เรียนได้ ดังนั้น 8 จึงจําเป็นต้องระมัดระวัง ไม่ทําให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากล่าว แสด พอใจ หรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนนี้มุ่งช่วยให้ได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหา สาระ และมโนทัศน์ต่างๆ รวมทั้งได้ฝึกปฏิบัติทักษะต่างๆ จนสามารถทําได้ดีประสบผลสําเร็จได้ในเวลาที่จำกัด
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
การเรียนการสอนของรูปแบบนี้ประกอบด้วยขั้นตอนสําคัญๆ 5 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นนํา
1.1 ผู้สอนแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียน และระดับการเรียนรู้หรือพฤติกรรม การเรียนรู้ที่คาดหวังแก่ผู้เรียน
1.2 ผู้สอนชี้แจงสาระของบทเรียน และความสัมพันธ์กับความรู้และ ประสบการณ์เดิมของผู้เรียนอย่างคร่าวๆ
1.3 ผู้สอนชี้แจงกระบวนการเรียนรู้ และหน้าที่รับผิดชอบของผู้เรียนในการ เรียนแต่ละขั้นตอน
ขั้นที่ 2 ขั้นนําเสนอบทเรียน
2.1 หากเป็นการนําเสนอเนื้อหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควร กลั่นกรองและสกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่านั้น และนําเสนออย่างชัดเจน พร้อมทั้งอธิบายและ ยกตัวอย่างประกอบให้ผู้เรียนเข้าใจ ต่อไปจึงสรุปคํานิยามของมโนทัศน์เหล่านั้น
2.2 ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ ก่อนให้ผู้เรียนลง มือฝึกปฏิบัติ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจ ต้องสอนซ่อมเสริมให้เข้าใจก่อน
ขั้นที่ 3 ขั้นปฏิบัติตามแบบ (structured practice)
ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูล ป้อนกลับ ให้การเสริมแรงหรือแก้ไขข้อผิดพลาดของผู้เรียน
ขั้นที่ 4 ขั้นฝึกปฏิบัติภายใต้การกํากับของผู้ชี้แนะ (guided practice)
ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่างๆ ผู้สอนจะสามารถ ประเมินการเรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสําเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติของ ผู้เรียน และช่วยเหลือผู้เรียน โดยให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียน แก้ไขข้อผิดพลาดต่างๆ
ขั้นที่ 5 การฝึกปฏิบัติอย่างอิสระ (independent practice)
หลังจากที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติตามขั้นที่ 4 ได้ถูกต้องประมาณ 85 - 90% แล้ว ผู้สอนควรปล่อยให้ผู้เรียนปฏิบัติต่อไปอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้เกิดความชํานาญ และการเรียนรู้อยู่คงทน ผู้สอนไม่จําเป็นต้องให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที สามารถให้ภายหลังได้ การฝึกในขั้นนี้ไม่ควรทํา ติดต่อกันในครั้งเดียว ควรมีการฝึกเป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้อยู่คงทนนานขึ้น
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามลําดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ทั้งทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัยได้เร็วและได้มากในเวลาจํากัด ไม่สับสน ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ ตามความสามารถของตนจนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ ทําให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียน และมี ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง
2. รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างเรือง (Storyline Method)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสร้างเรื่อง (Storyline Approach) พัฒนาขึ้น โดย ดร.สตีฟเท็ล
และแซลลี่ ฮาร์คเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ เขามีความเชื่อ เกี่ยวกับการเรียนรู้ว่า (อรทัย มูลคํา และคณะ2541 : 34 - 35)
1. การเรียนรู้ที่ดีควรมีลักษณะบูรณาการ หรือเป็นสหวิทยาการ คือเป็นการเรียนรู้ ที่ผสมผสานศาสตร์หลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการประยุกต์ใช้ในการทํางานและ ดําเนินชีวิตประจําวัน
2. การเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านทางประสบการณ์ตรงหรือการกระทํา หรือการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเอง
3. ความคงทนของผลการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเรียนรู้หรือวิธีการที่ได้รับความรู้มา 4. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้คุณค่าและสร้างผลงานที่ดีได้หากมีโอกาสได้ลงมือกระทํา
นอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว การเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสร้างเรื่องนี้ยังใช้ หลักการเรียนรู้และการสอนอีกหลายประการ เช่น การเรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปสู่วิถีชีวิตจริง การสร้างองค์ ความรู้ด้วยตนเอง และการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
จากฐานความเชื่อและหลักการดังกล่าว สตีฟเท็ล (ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาและโลก ศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย2542 : 4) ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่มีลักษณะ บูรณาการเนื้อหาหลักสูตรและทักษะการเรียนจากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน โดยให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ เรื่องขึ้นด้วยตนเอง โดยผู้สอนทําหน้าที่วางเส้นทาง เดินเรื่องให้ โดยดําเนินการเรื่องแบ่งเป็นตอนๆ (episode) แต่ละตอนประกอบด้วยกิจกรรมย่อยที่เชื่อมโยงกันด้วยคําถามหลัก (key question) ลักษณะของ คําถามหลักที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวให้ดําเนินไปอย่างต่อเนื่องมี 4 คําถามได้แก่ ที่ไหน ใคร ทําอะไร อย่างไร และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้สอนจะใช้คําถามหลักเหล่านี้เปิดประเด็นให้ผู้เรียนคิดร้อยเรียง เรื่องราวด้วยตนเอง รวมทั้งสร้างสรรค์ชิ้นงานประกอบกันไป การเรียนการสอนด้วยวิธีดังกล่าวจึงช่วยให้ ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์และความคิดของตนอย่างเต็มที่และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดกัน อภิปรายร่วมกัน และเกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
ข.วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และเจตคติของผู้เรียนในเรื่องที่เรียน รวมทั้ง ทักษะกระบวนการต่างๆ เช่น ทักษะการคิด ทักษะการทํางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการ สื่อสาร เป็นต้น
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
การเรียนการสอนตามรูปแบบจําเป็นต้องมีการวางแผนและจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ ล่วงหน้า โดยดําเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 การกําหนดเส้นทางเดินเรื่องให้เหมาะสม
ผู้สอนจําเป็นต้องวิเคราะห์จุดหมายและเนื้อหาสาระของหลักสูตร และเลือก - ) ชื่องให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระของหลักสูตรที่ต้องการจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และจัดแผนการ สอนในรายละเอียดเส้นทางเดินเรื่อง ประกอบด้วย 4 องค์ (episode) หรือ 4 ตอนด้วยกัน คือ ฉาก ถ้าละคร วิถีชีวิตและเหตุการณ์ ในแต่ละองค์ ผู้สอนจะต้องกําหนดประเด็นหลักขึ้นมาแล้วตั้งเป็นคําถาม แล้วตั้งเป็นคําถามนําให้ผู้เรียนศึกษาหาคําตอบ ซึ่งคําถามเหล่านี้จะโยงไปยังคําตอบที่สัมพันธ์กับ เนื้อหาวิชาต่างๆ ที่ประสงค์จะบูรณาการเข้าด้วยกัน ดังแสดงตัวอย่างเส้นทางเดินเรื่อง และตัวอย่าง แผนการจัดการเรียนการสอน ไว้ในภาพประกอบที่ 14 และ ตารางที่ 27 (วลัย พานิช2543 : 29 - 41)
                  แผนผังเส้นทางเดินเรื่อง (Topic line)
                  ตอน (ฉาก) ที่ 1 (Episode) คําถามหลัก                              ฉาก
       ตอน (ฉาก) ที่ 2 คําถามหลัก                                              ตัวละคร
      ตอน (ฉาก) ที่ 3 คําถามหลัก                                            การดําเนินชีวิต
ตอน(ฉาก) ที่ 4 คําถามหลัก              มีเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือมี ตอน
                                                                               ปัญหาที่ต้องแก้ไข
ภาพประกอบที่ 14 ตัวอย่างทางเดินเรื่อง วลัย พานิช,2543 : 29)
ขั้นที่ 2 การดําเนินกิจกรรมการเรียนการสอน
ผู้สอนดําเนินการตามแผนการสอนไปตามลําดับ การเรียนการสอนแบบนี้ อาจใช้ เวลาเพียงไม่กี่คาบ หรือต่อเนื่องกันเป็นภาคเรียนก็ได้ แล้วแต่หัวเรื่องและการบูรณาการว่าสามารถทําได้ ครอบคลุมเพียงใดแต่ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ภาคเรียน เพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย ในการเริ่ม กิจกรรมใหม่ ผู้สอนควรเชื่อมโยงกับเรื่องที่ค้างไว้เดิมให้สานต่อกันเสมอและควรให้ผู้เรียนสรุปความคิด รวบยอดของแต่ละกิจกรรม ก่อนจะขึ้นกิจกรรมใหม่ นอกจากนั้นควรกระตุ้นให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้า ข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนชื่นชมผลงานของกันและกัน และได้ปรับปรุง พัฒนางานของตน
ขั้นที่ 3 การประเมิน
ผู้สอนใช้การประเมินผลตามสภาพที่แท้จริง (authentic assessment) คือการ ประเมินจากการสังเกต การบันทึก และการรวบรวมข้อมูลจากผลงานและการแสดงออกของผู้เรียนการ
ประเมินจะไม่เน้นเฉพาะทักษะพื้นฐานเท่านั้น แต่จะรวมถึงทักษะการคิด การทํางาน การร่วมมือ การ เสือเหาและอื่นๆ การประเมินให้ความสําคัญในการประสบผลสําเร็จในการทํางานของผู้เรียนแต่ละคน มากกว่าการประเมินผลการเรียนที่มุ่งให้คะแนนผลผลิต และจัดลําดับที่เปรียบเทียบกับกลุ่ม
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้จากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องที่เรียน ในระดับที่สามารถวิเคราะห์และ สังเคราะห์ได้ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ
ตารางที่ 27 ตัวอย่างแผนการสอน Story line
ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรมการเรียนการสอน โดยการสร้างเรื่อง (วลัย พานิช,2543 :40)
หัวข้อ : ครอบครัวไทยในยุคไอเอ็มเอฟ
การผูกเรื่อง
(คําเนินเรื่อง)
แผนผัง
กิจกรรม
ลักษณธการ
จัดชั้นเรียน
สื่อการเรียนการสอน
ผลงานของนักเรียน
การประเมิลผล
1.
ครอบครัว
คนไทย
ครอบครัว
ของคุณมี
สมาชิกกี่คน
ใครบ้าง
มีอาชีพ
อะไรบ้าง
นักเรียนเสนอชื่อสมาชิกในครอบครัวบอกรายละเอียดคนในครอบครัว
กลุ่มย่อย
กระดาษ กาว สี
รูปภาพของสมาชิกในแต่ละครอบครัวและประวัติสมาชิกในครอบครัว
- ทักษะต่างๆ
- การสังเกต
- การคิดสร้างสรรค์
- การทำงานกลุ่ม
- การจัดการ
2.
ที่อยู่อาศัย
ของ
ครอบครัว
ที่อยู่อาศัย
ของคุณ
มีลักษณะ
เป็นอย่างไร
นักเรียนเสนอลักษณะบ้านที่อยู่อาศัยของแต่ละครอบครัว
กลุ่มย่อย
กระดาษ กาว สี
ลักษณะของบ้าน
*ผลงานที่ได้รับมอบหมาย


3. รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักการเรียนรู้ 4MAT

ก. ทฤษฎี หลักการ/หรือแนวคิดของรูปแบบ
แม็คคาร์ธี (McCarthy อ้างถึง ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น2542 : 7 - 11) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นจากแนวคิดของโคล์ป (Kolb) ซึ่งอธิบายว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นจาก ความสัมพันธ์ของ 2 มิติ คือ การรับรู้ (perception) และกระบวนการจัดกระทําข้อมูล (processing) การ รับรู้ของบุคคลมี 2 ช่องทาง คือ ผ่านทางประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม และผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็น
นามธรรม (abstract conceptualization) ส่วนกระบวนการจัดการกระทํากับข้อมูลที่รับรู้นั้น มี 2 ลักษณะ เช่นเดียวกัน คือ การลงมือทดลองปฏิบัติ และการสังเกตโดยใช้ความคิดอย่างไตร่ตรอง เมื่อลากเส้นตรง ของช่องทางการรับรู้ 2 ช่องทาง และเส้นตรงของกระบวนการจัดกระทําข้อมูลเพื่อให้เกิดการเรียนรู้มาตัด กัน แล้วเขียนเป็นวงกลมจะเกิดพื้นที่เป็น 4 ส่วนของวงกลม ซึ่งสามารถแทนลักษณะการเรียนรู้ของ ผู้เรียน 4 แบบ คือ แบบที่ 1 เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทาง ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม และใช้กระบวนการจัดกระทําข้อมูลด้วยการสังเกตอย่างไตร่ตรอง แบบที่ 2
เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (analytic learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นและชอบใช้กระบวนการสังเกตอย่างไตร่ตรอง แบบที่ 3 เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสํานึก common senes learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม และชอบใช้ กระบวนการลงมือทํา แบบที่ 4 เป็นผู้เรียนที่ถนัดในการปรับเปลี่ยน (dynamic learners) เพราะมีการรับรู้ ผ่านทางประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมและชอบใช้กระบวนการลงมือปฏิบัติ แมคคาร์ธี และคณะ (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น2542 : 7 - 11) ได้นําแนวคิดของโคล์ป มาประกอบกับแนวคิดเกี่ยวกับการ ทํางานของสมองทั้งสองซีก ทําให้เกิดเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้คําถามหลัก 4 คําถามคือ ทําไม (Why?) อะไร (What?) อย่างไร (How?) และถ้า (17) ซึ่งสามารถพัฒนาผู้เรียนที่มี ลักษณะการเรียนรู้แตกต่างกันทั้ง 4 แบบ ให้สามารถใช้สมองทุกส่วนของตนในการพัฒนาศักยภาพของ ตนได้อย่างเต็มที่ (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น2542 : 15- 16)
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้สมองทุกส่วน (whole brain) ทั้งซีกซ้ายและขวา ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
การเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT มีขั้นตอนดําเนินการ 8 ขั้น ดังนี้ (ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น,2542 : 11 - 16: เธียร พานิช2542 : 3- 5)
ขั้นที่ 1 การสร้างประสบการณ์ ผู้สอนเริ่มต้นจากการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เห็นคุณค่าของเรื่องที่เรียนด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถตอบคําถามได้ว่า ทําไมตนจึงต้องเรียนรู้ เรื่องนี้
ขั้นที่ 2 การวิเคราะห์ประสบการณ์ หรือสะท้อนความคิดจากประสบการณ์ ช่วย ให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักรู้ และยอมรับความสําคัญของเรื่องที่เรียน
ขั้นที่ 3 การพัฒนาประสบการณ์เป็นความคิดรวบยอดหรือแนวคิดเมื่อผู้เรียนเห็น คุณค่าของเรื่องที่เรียนแล้ว ผู้สอนจึงจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอด ขึ้นด้วยตนเอง
ขั้นที่ 4 การพัฒนาความรู้ความคิด
เมื่อผู้เรียนมีประสบการณ์และเกิดความคิดรวบยอดหรือแนวคิดพอสมควรแล้ว ผู้สอนจึงกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความคิดของตนให้กว้างและลึกซึ้งขึ้น โดยการให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย การเรียนรู้ในขั้นที่ 3 และ 4 นี้คือการตอบคําถามว่า สิ่งที่ได้ เรียนรู้คือ อะไร
ขั้นที่ 5 การปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้
ในขั้นนี้ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนําความรู้ความคิดที่ได้รับจากการเรียนรู้ในขั้น ที่ 3 – 4 มาทดลองปฏิบัติจริง และศึกษาผลที่เกิดขึ้น
ขั้นที่ 6 การสร้างสรรค์ชิ้นงานของตนเอง
จากการปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้ในขั้นที่ 5 ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ถึงจุดเด่น จุดด้อยของแนวคิด ความเข้าใจแนวคิดนั้นจะกระจ่างขึ้น ในขั้นนี้ผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนา ความสามารถของตน โดยการนําความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้หรือปรับประยุกต์ใช้ในการสร้างชิ้นงานที่ เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง ดังนั้นคําถามหลักที่ใช้ในขั้นที่ 5 - 6 ก็คือจะกระทําอย่างไร
ขั้นที่ 7 การวิเคราะห์ผลงานและแนวทางในการนําไปประยุกต์ใช้
เมื่อผู้เรียนได้สร้างสรรค์ชิ้นงานของตนตามความถนัดแล้ว ผู้สอนควรเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้แสดงผลงานของตน ชื่นชมกับความสําเร็จ และเรียนรู้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อปรับปรุงงาน ของตนให้ดีขึ้น และการนําไปประยุกต์ใช้ต่อไป
ขั้นที่ 8 การและเปลี่ยนความรู้ความคิด
ขั้นนี้เป็นขั้นของการขยายขอบข่ายของความรู้โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด แก่กันและกัน และร่วมกันอภิปรายเพื่อการนําการเรียนรู้ไปเชื่อมโยงกับชีวิตจริงและอนาคต คําถามหลัก ในการอภิปรายก็คือ ถ้าซึ่งอาจนําไปสู่การเปิดประเด็นใหม่สําหรับผู้เรียนในการเริ่มต้นวัฏจักรของการ เรียนรู้ในเรื่องใหม่ต่อไป

ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่เรียน จะเกิดความรู้ความเข้าใจ และนําความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้ได้ และสามารถสร้างผลงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ อีกจํานวนมาก
4. รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Instructional Models of Cooperative Learning)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลักการ เรียนรู้แบบร่วมมือของจอห์นสัน (Johnson & Johnson, 1974 : 213 - 240) ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่า ผู้เรียนควร ร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการแข่งขัน เพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการแพ้ ชนะ ต่างจากการร่วมมือกัน ซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ชนะ ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจ และสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการประกอบด้วย 1. การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพา กัน (positive interdependence) โดยถือว่าทุกคนมีความสําคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึ่งพากัน เพื่อ ความสําเร็จร่วมกัน 2.การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (face to face interaction) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่างๆ 3. การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัย ทักษะทางสังคม (Social skills) โดยเฉพาะทักษะในการทํางานร่วมกัน และ 4. การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการ วิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (group processing) ที่ใช้ในการทํางาน และ 5. การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมี
ผลงาน หรือผลสัมฤทธิ์ ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ที่สามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ (individual accountability) หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกัน นอกจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้าน เนื้อหาสาระต่างๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นด้วย รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตอีกมาก
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่างๆ ด้วยตนเองและด้วยความ ร่วมมือและช่วยเหลือจากเพื่อนๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่างๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะ การทํางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิดการ แก้ปัญหาและอื่นๆ
ค. กระบวนการเรียนการสอนตามรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ มีหลายรูปแบบซึ่งแต่ ละรูปแบบจะมีวิธีการดําเนินการหลักๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่มการศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิด คะแนน และระบบการให้รางวัลแตกต่างกันออกไป เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบใดต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน คือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 หลักการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรง ไปในทิศทางเดียวกัน คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการ ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบ แต่ละรูปแบบจะอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ และวิธีการเสริมแรง และการให้รางวัลเป็นประการ สําคัญเพื่อความกระชับในการนําเสนอ ผู้เขียนจึงจะนําเสนอกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบทั้ง 8 รูปแบบต่อเนื่องกัน ดังนี้
1. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิกซอร์ (JIGSAW)
1.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง – กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
1.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน (เปรียบเสมือนได้ชิ้นส่วนของภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้น) และหาคําตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอน มอบหมายให้
1.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่น ซึ่งได้รับ เนื้อหาเดียวกัน ตั้งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (expert group) ขึ้นมา และร่วมกันทําความเข้าใจในเนื้อหาสาระ นั้นอย่างละเอียด และร่วมกันอภิปรายหาคําตอบประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้
1.4 สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับไปสู่กลุ่มบ้านของเราแต่ละคนช่วยสอนเพื่อน ในกลุ่มให้เข้าใจในสาระที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชียวชาญ เช่นนี้ สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวม ของสาระทั้งหมด
1 5 ผู้เรียนทุกคนทําแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล และได้คะแนน
คะแนนของทุกคนในกลุ่มบ้านของเรามารวมกัน (หรือหาค่าเฉลี่ย) เป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ 2 สูงสุด ได้รับรางวัล
2. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส.ที.เอ.ดี. (STAD)
คําว่า “STAD” เป็นตัวย่อของ “Student Teams Achievement Division กระบวนการดําเนินการมีดังนี้
2.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง – กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
2.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระ และศึกษาเนื้อหาสาระนั้น ร่วมกัน เนื้อหาสาระนั้นอาจมีหลายขั้นตอน ซึ่งผู้เรียนอาจต้องทําแบบทดสอบในแต่ละตอน และเก็บ คะแนนของตนไว้
2.3 ผู้เรียนทุกคนทําแบบทดสอบครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการทดสอบรวบยอดและ นําคะแนนของตนไปหาคะแนนพัฒนาการ (improvement score) ซึ่งหาได้ดังนี้
คะแนนพื้นฐาน : ได้จากค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบย่อยหลายๆ ครั้งที่ผู้เรียน แต่ละคนทําได้
คะแนนที่ได้ : ได้จากการนําคะแนนทดสอบครั้งสุดท้ายลบคะแนนพื้นฐาน
 คะแนนพัฒนาการ : ถ้าคะแนนที่ได้คือ
11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 0
1 ถึง -10 คะแนนพัฒนาการ = 10
+1 ถึง 10 คะแนนพัฒนาการ = 20
+11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 30
2.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา นําคะแนนพัฒนาการของแต่ละคนในกลุ่มมา รวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนพัฒนาการของกลุ่มสูงสุด กลุ่มนั้นได้รางวัล
3. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที. เอ. ไอ. (TAI)
คําว่า “TAI” มาจาก “Team - Assisted Individualization” ซึ่งมีกระบวนการ
ดังนี้
3.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง - กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
3.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระ และศึกษาเนื้อหาสาระนั้น ร่วมกัน
3.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา จับคู่กันทําแบบฝึกหัด
ก. ถ้าใครทําแบบฝึกหัดได้ 75% ขึ้นไปให้ไปรับการทดสอบรวบยอดครั้ง
สุดท้าย
ข. ถ้ายังทําแบบฝึกหัดได้ไม่ถึง 75% ให้ทําแบบฝึกหัดซ่อมจนกระทั่งทําได้ แล้วจึงไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้าย
3.4 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแต่ละคน นําคะแนนทดสอบรวบยอดมา รวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนกลุ่มสูงสุด กลุ่มนั้นได้รับรางวัล
4. กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบ ที.จี.ที. (TGT)
ตัวย่อ “TGT” มาจาก “Team Games Tournament
4.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง – กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้านของเรา (home group)
4.2 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระ และศึกษาเนื้อหาสาระ ร่วมกัน
4.3 สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายกันเป็นตัวแทนกลุ่มไปแข่งขันกับกลุ่ม อื่นโดยจัดกลุ่มแข่งขันตามความสามารถ คนเก่งในกลุ่มบ้านของเราแต่ละกลุ่มไปรวมกัน คนอ่อนไปรวม กับคนอ่อนของกลุ่มอื่น กลุ่มใหม่ที่รวมกันนี้เรียกว่ากลุ่มแข่งขันกําหนดให้มีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน
4.4 สมาชิกในกลุ่มแข่งขัน เริ่มแข่งขันกันดังนี้
ก. แข่งขันกันตอบคําถาม 10 คําถาม
ข. สมาชิกคนแรกจับคําถามขึ้นมา 1 คําถาม และอ่านคําถามให้กลุ่มฟัง
ค. ให้สมาชิกที่อยู่ซ้ายมือของผู้อ่านคําถามคนแรกตอบคําถาม ก่อน ต่อไปจึง ให้คนถัดไปตอบจนครบ
ง. ผู้อ่านคําถาม เปิดคําตอบ แล้วอ่านเฉลยคําตอบที่ถูกให้กลุ่มฟัง
จ. ให้คะแนนคําตอบ ดังนี้ ผู้ตอบถูกเป็นคนแรกได้ 2 คะแนน ผู้ตอบถูกคนต่อไปได้ 1 คะแนน ผู้ตอบผิดได้ 0 คะแนน
ฉ. ต่อไปสมาชิกกลุ่มที่สองจับคําถามที่ 2 และเริ่มเล่นตามขั้นตอน ข ค ไป เรื่อยๆ จนกระทั่งคําถามหมด
ช. ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง
ผู้ได้คะแนนสูงอันดับ 1 ได้โบนัส 10 คะแนน
ผู้ได้คะแนนสูงอันดับ 2 ได้โบนัส 8 คะแนน
 ผู้ได้คะแนนสูงอันดับ 3 ได้โบนัส 5 คะแนน
ผู้ได้คะแนนสูงอันดับ 4 ได้โบนัส 4 คะแนน
45 เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว สมาชิกกลุ่มกลับไปกลุ่มบ้านของเรา แล้วนําคะแนน ที่แต่ละคนได้รวมเป็นคะแนนของกลุ่ม
5. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบแอล.ที่ (L.)
LT.” มาจากคําว่า Learning Together ซึ่งมีกระบวนการที่ง่าย ไม่ซับซ้อน
5.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง – กลาง - อ่อน) กลุ่มละ 4 คน
5.2 กลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกําหนดให้แต่ละคนมี บทบาทหน้าที่ช่วยกลุ่มในการเรียนรู้ตัวอย่างเช่น
สมาชิกคนที่ 1 : อ่านคําสั่ง
สมาชิกคนที่ 2 : หาคําตอบ
สมาชิกคนที่ 3 : หาคําตอบ
สมาชิกคนที่ 4 : ตรวจคําตอบ
5.3 กลุ่มสรุปคําตอบร่วมกัน และส่งคําตอบนั้นเป็นผลงานกลุ่ม
5.4 ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไร สมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนนั้น เท่ากันทุกคน
6. กระบวนการเรียนการสอนรูปแบบ จี.ไอ. (G.)
G.I.” คือ “Group Investigation” รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน ช่วยกันไปสืบค้นข้อมูลมาใช้ในการเรียนรู้ร่วมกัน โดยดําเนินการเป็นขั้นตอนดังนี้
6.1 จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง – กลาง – อ่อน) กลุ่มละ 4 คน 6.2 กลุ่มย่อยศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน โดย ก. แบ่งแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อยๆ แล้วแบ่งกันไปศึกษาหาข้อมูลหรือคําตอบ
ข. ในการเลือกเนื้อหา ควรให้ผู้เรียนอ่อนเป็นผู้เลือกก่อน
6.3 สมาชิกแต่ละคน ไปศึกษาหาข้อมูล/คําตอบมาให้กลุ่ม กลุ่มอภิปราย ร่วมกัน และสรุปผลการศึกษา
6.4 กลุ่มเสนอผลงานของกลุ่มต่อชั้นเรียน
7. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ซี.ไอ.อาร์.ซี. (CIRC)
รูปแบบ CIRC หรือ “Cooperative Integrated Reading And Compos เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รูปแบ ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนการอ่านเพื่อควา และการบูรณาการภาษากับการเรียน โดยมีขั้นตอนในการดําเนินการดังนี้ (Slavin,1995 : 104 – 110)
1.1  ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการอ่าน
นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่ 2 คน หรือ 3 คน ทํากิจกรรมการอ่านแบบเรียน ร่วมกัน
7.2 ครูจัดทีมใหม่โดยให้แต่ละทีมมีนักเรียนต่างระดับความสามารถอย่างน้อย ๒ะดับ ทีมทํากิจกรรมร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แต่งความ ทําแบบฝึกหัดและแบบทดสอบต่างๆ และมี การให้คะแนนผลงานของแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90% ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น “ซุปเปอร์ ทีม” หากได้รับคะแนนตั้งแต่ 80 - 89% ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา
7.3 ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน และนําคําศัพท์ใหม่ๆ ทบทวนศัพท์เก่า ต่อจากนั้นครูจะกําหนดและแนะนําเรื่องที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนทํา กิจกรรมต่างๆ ตามที่ครูจัดเตรียมไว้ให้ เช่น อ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟัง และช่วยกัน แก้จุดบกพร่องหรือครูอาจจะให้นักเรียนช่วยกันตอบคําถาม วิเคราะห์ตัวละคร วิเคราะห์ปัญหาหรือ ทํานายว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นต้น
7.4 หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนําการอภิปรายเรื่องที่อ่าน โดยครูจะเน้นการ ฝึกทักษะต่างๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเด็นปัญหาทํานาย เป็นต้น
7.5 นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนน เคคลและทีม
7.6 นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการจับใจความสําคัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล เป็นต้น
7.7 นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อ การเขียนได้ตามความสนใจ นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่อง และช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง และในที่สุดตีพิมพ์ผลงานออกมา
7.8 นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจและเขียนรายงาน เรื่องที่อ่านเป็นรายบุคคล โดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนที่บ้าน โดยมี แบบฟอร์มให้

8. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction)
รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดย เอลิซาเบธ โคเฮนและคณะ (Elizabeth Cohen) เป็น รูปแบบที่คล้ายคลึงกับรูปแบบ จี.ไอ. เพียงแต่จะเน้นการสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกว่าการทําเป็น รายบุคคล นอกจากนั้นงานที่ให้ยังมีลักษณะของการประสานสัมพันธ์ระหว่างความรู้และทักษะหลาย ประเภท และเน้นการให้ความสําคัญแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยจัดงานให้เหมาะสมกับความสามารถ และความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน ดังนั้นครจึงจําเป็นต้องค้นหาความสามารถเฉพาะทางของผู้เรียนที่ อ่อน โคเฮน เชื่อว่า หากผู้เรียนได้รับรู้ว่าตนมีความถนัดในด้านใด จะช่วยให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการ พัฒนาตนเองในด้านอื่นๆ ด้วยรูปแบบนี้จะไม่มีการใช้กลไกของการให้รางวัลเนื่องจากเป็นรูปแบบที่ได้
ออกแบบให้งานที่แต่ละบุคคลที่สามารถสนองตอบความสนใจของผู้เรียนและสามารถจูงใจผู้เรียนแต่ละ คนอยู่แล้ว
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและ ช่วยเหลือจากเพื่อนๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จํานวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะการ ทํางานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการประสานสัมพันธ์ ทักษะการคิด ทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการ แก้ปัญหา เป็นต้น
รูปแบบการเรียนการสอนที่ได้คัดสรรมานําเสนอไว้ในบทนี้ล้วนเป็นรูปแบบที่ น่าสนใจ มีความแปลกใหม่ และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการสอนและการเรียนรู้ทั้งสิ้น หากผู้สอนให้ ความสนใจและพยายามศึกษาให้เข้าใจ และลองนําไปใช้อย่างเหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของรูปแบบนั้นๆ จะสามารถช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มีโอกาสพัฒนาความสามารถในการคิดมาก ขึ้นและเกิดการพัฒนาอย่างรอบด้าน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น